วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

สมุนไพรที่ใช้รักษาอาการของโรคต่างๆ


อาหารสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหรือโรคที่นำมาเสนอนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีน หากท่านผู้อ่านท่านใดได้เคยใช้ในการรักษาอาการ หรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง หมอชาวบ้านเพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษา และเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป
น้ำตาล-พลังในร่างกาย
ตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มารดา ในการดำรงของชีวิตของมนุษย์เราจะขาดน้ำตาลไม่ได้ แม้อาหารที่จำเป็นของทารกก็คือ น้ำนมก็มีน้ำตาลผสมอยู่
อาหารพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง ก็ประกอบด้วยน้ำตาลพวก (monosac charide) นอกจากนี้ในผลไม้ ผัก ก็มีน้ำตาล น้ำตาลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต การทำงานของอวัยวะภายในและเนื้อเยื่อของร่างกายต่างๆ ก็ล้วนต้องใช้พลังงานจากน้ำตาล นอกจากนี้ การหายใจ การไหลเวียน การขับปัสสาวะ การย่อยอาหารล้วนแล้วแต่ต้องการความร้อนจากน้ำตาลทั้งสิ้น
สรุปแล้วพลังงานในการเคลื่อนไหวของมนุษย์ 70% มาจากน้ำตาลถ้าขาดน้ำตาลมนุษย์ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ จะเห็นได้ว่าน้ำตาลมีความสำคัญต่อชีวิตมาก
น้ำตาลมีอยู่ 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ
ชนิดที่หนึ่ง Monosaccharide ได้แก่ กลูโคส (Glucose) ฟรุคโตส (Fructose), Glalactose
ชนิดที่สอง Disaccharide ได้แก่ ซูโครส (Sucrose) มัลโตส (Maltose) แลคโตส (Lactose)
ชนิดที่สาม Polysaccharide ได้แก่ แป้ง (Starch) , Cellulose Glycogen เป็นต้น
เมื่อพูดถึงน้ำตาล ใครๆ ก็ต้องรู้ว่ามีรสหวาน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่น้ำตาลทุกชนิดจะมีรสหวาน
เช่น แลคโตส (Lactose) ซึ่งมีอยู่ในน้ำนมคนหรือวัว ถ้าเราดื่มนมจะไม่รู้สึกหวาน แม้เราจะกินแลคโตสเพียงอย่างเดียว ความหวานก็มีอยู่อย่างจำกัด แม้แลคโตสจะไม่มีรสหวาน แต่ก็เป็นอาหารจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของทารก
แลคโตสจะทำหน้าที่ป้องกันจุลินทรีย์ที่จำเป็นในลำไส้ของทารก และยังช่วยการดูดซึมของแคลเซียม ทำให้ทารกสามารถย่อยและดูดซึมได้ แต่ถ้าผู้ใหญ่กินกลับจะทำให้ย่อยยากและทำให้ท้องเสีย
นอกจากนี้แป้งซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญของมนุษย์ ประกอบด้วยอนุภาคกลูโคส 6,500 หน่วย ถ้าไม่มีการสลายตัวจะไม่มีรสหวาน แต่เป็นแหล่งสำคัญของน้ำตาลที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน
เวลาที่เรากินขนมปังแป้ง จะคลุกเคล้ากับเอนไซม์ในน้ำลาย เกิดการสลายตัวทำให้เกิดรสหวาน คือ มัลโตส (Maltose) ขึ้น ในวันหนึ่งๆ ร่างกายต้องการน้ำตาลจากอาหารประมาณ 100-400 กรัม ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากแป้ง น้ำตาลต่างๆ ที่เข้าในร่างกาไม่ใช่ว่าจะได้รับการดูดซึมแล้วนำไปใช้โดยตรง นอกจากลูโคสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลชนิดใดจะต้องถูกออกซิไดซ์ให้เป็นกลุโคสก่อนจึงจะเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อให้ร่างกายใช้
เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ในร่างกายต้องการกลูโคสเพื่อเป็นวัตถุในการให้พลังงานและสารประกอบที่สำคัญอื่นๆ มีอวัยวะบางส่วน เช่น สมองในวันหนึ่งๆ ต้องการกลูโคส 110-130 กรัม การที่หัวใจทำงานได้ก็ต้องอาศัยกลูโคสมาทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป ผลการทดลองหัวใจสัตว์นอกร่างกาย พบว่ากลูโคสมีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจของสัตว์ที่ทดลอง นอกจากนี้ไตและเม็ดเลือดแดงก็ต้องการกลูโคสมาเป็นอาหาร อวัยวะภายในอื่นๆ ถ้าขาดกลูโคสก็สามารถใช้กรดไขมัน (Fatty acid) มาเป็นแหล่งพลังงานได้
กลูโคสนอกจากเป็นแหล่งอาหารที่จำเป็นของเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในแล้ว ยังทำให้กัยโคเจน (Glycogen) ในตับเพิ่มขึ้น ทำให้การเผาผลาญ (Metabolism) ของเนื้อเยื่อดีขึ้น ขณะที่น้ำตาลในเลือดลดน้อยลง กลูโคสจะเป็นสารที่กระตุ้นการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กลูโคสยังสามารถทำให้ร่างกายมีความต้านทานต่อโรคติดต่อได้ด้วย ดังนั้นในการรักษาโรคกลูโคสจึงถูกใช้เป็นยารักษาโรคได้อย่างกว้างขวาง
น้ำตาลที่กินเป็นประจำมีน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลกรวด ซึ่งทำมาจากอ้อยหรือพืชผักที่มีรสหวานอย่างอื่น น้ำตาลทรายแดงมักมีสีน้ำตาลเพราะมีสาร Molasses, Chlorophyll, Xanthophyll, Carotene และเหล็ก เป็นต้น สำหรับน้ำตาลทรายขาวนั้นได้ผ่านกระบวนการฟอกทางเคมี และแยกสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ออก ทำให้มีสีขาวและบริสุทธิ์กว่า แต่ถ้าพูดถึงในแง่คุณค่าทางโภชนาการแล้วจะมีคุณค่าน้อยกว่าน้ำตาลทรายแดง ทั้งนี้เพราะสารบางอย่างจะลดน้อยลง
เช่น ในน้ำตาลทรายแดง 1 มก. จะมีแคลเซียม 450 มก. ซึ่งมากเป็น 3 เท่าของน้ำตาลทรายขาว มีเหล็ก 20 มก. มากกว่าน้ำตาลทรายขาว 2 เท่า นอกจากนี้ยังมีสารอื่นๆ มากกว่าน้ำตาลทรายขาว ในน้ำตาลทรายหรือน้ำผึ้ง ฟรุคโตส (Fructose) มีรสหวานที่สุด นอกจากนี้ในผลไม้อื่นๆ ก็มีฟลุคโตสเป็นจำนวนมาก
ในการย่อยและการเผาผลาญในร่างกาย ฟลุคโตสไม่ต้องใช้อินซูลิน ดังนั้นฟลุคโตสจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และแบคทีเรียในปากจะไม่หมัก (Ferment) กับฟลุคโตส จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารของคนที่ฟังผุ
ประโยชน์ของน้ำตาล
น้ำตาลทรายแดง มีคุณสมบัติร้อน รสหวาน มีสรรพคุณบำรุงพลัง แก้ปวด ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก สตรีในระหว่างมีประจำเดือนถูกความเย็น มีอาการปวดประจำเดือน ปวดเอวหรือท้องน้อย หรือประจำเดือนเป็นลิ่ม ให้ดื่มน้ำผสมน้ำตาลทรายแดงอุ่นๆ สักแก้ว จะทำให้สบายขึ้น
น้ำตาลทรายขาว และน้ำตาลทรายกรวด มีสรรพคุณดับร้อน ถอนพิษ แก้อักเสบ มีอาการเจ็บคอ ปากเป็นแผล ไอมีเสมหะเหลือง นอกจากนี้ น้ำเชื่อม (จากน้ำตาลทรายขาว) ยังใช้รักษาบาดแผลเน่าเปื่อยได้ ทั้งนี้เพราะน้ำเชื่อมสามารถเปลี่ยนสภาพกรดและด่างบริเวณปากแผล ทำให้เซลล์ผิวหนังกระตุ้น การไหลเวียนของโลหิตจะดีขึ้น และยังเป็นอาหารที่ถูกนำไปหล่อเลี้ยงผิวหนังบริเวณนั้นด้วย ทำให้เชื้อโรคไม่สามารถเจริญเติบโตได้ บาดแผลก็จะหายเร็วขึ้น
การกินน้ำตาลทรายมากเกินไปจะให้โทษ เช่น ทำให้อ้วน ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ การย่อยอาหารไม่ดี กรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เป็นโรคเบาหวาน และทำให้ฟันผุ ฯลฯ สำหรับสาเหตุของโรคเบาหวานนั้น มีบารายที่เกี่ยวข้องกับการกินน้ำตาลทรายมากเกินไป ทั้งนี้เพราะการกินน้ำตาลทรายมากเกินจะทำให้ต้องใช้อินซูลินมากเกินไป ถ้ากินระยะนานก็สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
การกินน้ำตาลทรายจะทำให้เบื่ออาหาร เพราะการกินน้ำตาลทรายมากจะทำให้วิตามินบีในร่างกายถูกใช้ไปมาก เมื่อปริมาณของวิตามินบีลดน้อยลง ก็จะทำให้กินอาหารน้อยลง น้ำลายและน้ำย่อยลดน้อยลง ทำให้เบื่ออาหารมากขึ้น
ขณะเดียวกัน การที่มีน้ำตาลอยู่ในกระเพาะอาหารมาก ทำให้สภาพกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มมากขึ้น กรดมากกว่าปกติ เกิดการหมัก (Fermentation) ในลำไส้ทำให้ไม่สบายท้อง มีผู้เชื่อว่าการกินน้ำตาลมากเกินไป จะมีผลต่อการเผาผลาญ (Metabolism) แคลเซี่ยม ถ้าปริมาณน้ำตาลสูง 16-18% ของอาหารที่กิน จะทำให้การเผาผลาญของแคลเซียมในร่างกายเกิดความสับสน
ผลจากการวิจัยพบว่าโรคฟันผุ มีส่วนเกี่ยวข้องกบการกินน้ำตาล เมื่อกินน้ำตาลจะทำให้สภาพของกรดในปากเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่มีอายุมาก จะรู้สึกว่ามีรสเปรี้ยว Bacillus acidi lactici เป็นแบคทีเรียที่ชอบอาศัยและเจริญเติบโตที่บริเวณแอ่ง ร่องฟัน หรือซอกฟันที่มีสภาพเป็นกรด ทำให้แคลเซียมในฟันหลุดและเกิดฟันผุได้ หรือที่เรียกว่าแมงกินฟันนั่นเอง
แม้จะไม่มีน้ำตาล ร่างกายของคนเราก็ได้รับอาหารเพียงพอแล้ว ทั้งนี้เพราะอาหารที่เรากินนั้นมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ปริมาณของน้ำตาลที่ร่างกาย ต้องการในวันหนึ่งๆ ไม่ควรเกิน 50 กรัม (หมายถึงกินติดต่อกันนานๆ ) มีผู้ใหญ่บางคนรักเด็กมาก มักซื้อลูกกวาดให้เด็กกินเป็นประจำ จะทำให้เด็กกินอาหารน้อยลง ขาดธาตุอาหาร ทำให้ฟันเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอมลูกกวาดก่อนนอนจะทำให้ฟันผุ จึงควรระวัง
  น้ำตาล ผลิตได้จากพืชหลายอย่าง เช่น อ้อย หัวบีท มะพร้าว ตาล เมเปิ้ล เป็นต้น สำหรับ "น้ำตาลทรายแดง" เป็นผลผลิตจากอ้อย แต่ไม่ได้ผ่านการฟอกสีอย่างสมบูรณ์ ไม่มีสารฟอกสีปนเปื้อนเหมือนน้ำตาลทรายขาว ทั้งยังมีการปนของสารธรรมชาติจากอ้อยอยู่บ้าง น้ำตาลทรายแดงมีความชื้นมาก มีกลิ่นน้ำตาลไหม้ และมีกากน้ำตาลติดอยู่ จึงเป็นสีน้ำตาลคล้ำ

        คุณค่าทางโภชนาการในน้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม ประกอบด้วยแคลเซียม 450 มิลลิกรัม ซึ่งมากเป็น 3 เท่าของน้ำตาลทรายขาว มีธาตุเหล็ก 20 มิลลิกรัม มากเป็น 2 เท่าของน้ำตาลทรายขาว นอกจากนี้ยังมีสารอื่นๆ มากกว่าน้ำตาลทรายขาว

        ความแตกต่างระหว่างน้ำตาลทรายแดงกับน้ำตาลทรายขาวอยู่ที่ขั้นตอนและวิธีการผลิต น้ำตาลทรายแดงเป็นน้ำตาลที่ผลิตมาแต่ดั้งเดิมด้วยระบบ Open Pan (ไม่มีการตกผลึก) ส่วนน้ำตาลทรายขาวผลิตภายใต้ระบบสุญญากาศหรือ Vacuum Pan (ตกผลึก) น้ำตาลทรายแดงนิยมใช้ในอาหารบางประเภทเท่านั้น เนื่องจากสี กลิ่น รส เหมาะกับอาหารบางชนิดเท่านั้น ในอุตสาหกรรมอาหารจึงนิยมใช้น้ำตาลทรายขาวมากกว่าน้ำตาลทรายแดง

        กรรมวิธีการผลิตน้ำตาลทรายแดง เริ่มจากรุ่นโบราณ เมื่อตัดอ้อยแล้วนำเข้าโรงหีบ ใช้หินทับกัน 2 ก้อน ใช้แรงวัว-ควายเดินหมุนไปรอบๆ บีบน้ำอ้อยออกมา ต่อมาเข้ายุคอุตสาหกรรม โรงงานเปลี่ยนไปใช้เครื่องมือเป็นลูกหีบเหล็กขนาดเล็กจำนวน 1-2 ชุด ชนิด 2-3 ลูกกลิ้ง โดยใช้มอเตอร์ฉุดให้ลูกกลิ้งหมุนบีบน้ำอ้อยออกมา นำน้ำอ้อยไปผสมกับปูนขาวแล้วกรองเอาน้ำอ้อยใสไปเคี่ยวในกระทะเหล็กเปิด (Open pan) ที่ตั้งบนเตาต้มเคี่ยวเป็นระยะๆ ในกระทะต่อไปตามลำดับจนถึงกระทะที่ 4 ข้นได้ที่แล้วก็เทออกผึ่ง ละเลงในกระบะไม้ให้แห้ง แล้วใช้ค้อนไม้บดให้เป็นเม็ดหยาบๆ

        ประเทศไทยผลิตน้ำตาลจากอ้อยปีละประมาณ 5-7 ล้านตัน โดยใช้สำหรับการบริโภคในประเทศร้อยละ 30-35 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 65-70 ส่งเป็นสินค้าออก ประเภทของน้ำตาลทรายที่ผลิตในประเทศแบ่งออกเป็น 1.น้ำตาลทรายแดง ทำให้เป็นน้ำตาลด้วยวิธีไม่ตกผลึก 2.น้ำตาลทรายดิบ ลักษณะเป็นผลึก 3.น้ำตาลทรายขาว ลักษณะเป็นผลึกขาวใส

        สรรพคุณ น้ำตาลทรายแดงมีคุณสมบัติร้อน บำรุงกำลัง แก้ปวด ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก สตรีระหว่างมีประจำเดือน ปวดเอวหรือท้องน้อย ดื่มน้ำผสมน้ำตาลทรายแดงอุ่นสักแก้ว จะทำให้สบายขึ้น ไทยส่งน้ำตาลทรายแดงไปขายมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งนอกจากใช้บริโภค ยังใช้ผสมในยาต่างๆ

  น้ำตาล ผลิตได้จากพืชหลายอย่าง เช่น อ้อย หัวบีท มะพร้าว ตาล เมเปิ้ล เป็นต้น สำหรับ "น้ำตาลทรายแดง" เป็นผลผลิตจากอ้อย แต่ไม่ได้ผ่านการฟอกสีอย่างสมบูรณ์ ไม่มีสารฟอกสีปนเปื้อนเหมือนน้ำตาลทรายขาว ทั้งยังมีการปนของสารธรรมชาติจากอ้อยอยู่บ้าง น้ำตาลทรายแดงมีความชื้นมาก มีกลิ่นน้ำตาลไหม้ และมีกากน้ำตาลติดอยู่ จึงเป็นสีน้ำตาลคล้ำ

        คุณค่าทางโภชนาการในน้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม ประกอบด้วยแคลเซียม 450 มิลลิกรัม ซึ่งมากเป็น 3 เท่าของน้ำตาลทรายขาว มีธาตุเหล็ก 20 มิลลิกรัม มากเป็น 2 เท่าของน้ำตาลทรายขาว นอกจากนี้ยังมีสารอื่นๆ มากกว่าน้ำตาลทรายขาว

        ความแตกต่างระหว่างน้ำตาลทรายแดงกับน้ำตาลทรายขาวอยู่ที่ขั้นตอนและวิธีการผลิต น้ำตาลทรายแดงเป็นน้ำตาลที่ผลิตมาแต่ดั้งเดิมด้วยระบบ Open Pan (ไม่มีการตกผลึก) ส่วนน้ำตาลทรายขาวผลิตภายใต้ระบบสุญญากาศหรือ Vacuum Pan (ตกผลึก) น้ำตาลทรายแดงนิยมใช้ในอาหารบางประเภทเท่านั้น เนื่องจากสี กลิ่น รส เหมาะกับอาหารบางชนิดเท่านั้น ในอุตสาหกรรมอาหารจึงนิยมใช้น้ำตาลทรายขาวมากกว่าน้ำตาลทรายแดง

        กรรมวิธีการผลิตน้ำตาลทรายแดง เริ่มจากรุ่นโบราณ เมื่อตัดอ้อยแล้วนำเข้าโรงหีบ ใช้หินทับกัน 2 ก้อน ใช้แรงวัว-ควายเดินหมุนไปรอบๆ บีบน้ำอ้อยออกมา ต่อมาเข้ายุคอุตสาหกรรม โรงงานเปลี่ยนไปใช้เครื่องมือเป็นลูกหีบเหล็กขนาดเล็กจำนวน 1-2 ชุด ชนิด 2-3 ลูกกลิ้ง โดยใช้มอเตอร์ฉุดให้ลูกกลิ้งหมุนบีบน้ำอ้อยออกมา นำน้ำอ้อยไปผสมกับปูนขาวแล้วกรองเอาน้ำอ้อยใสไปเคี่ยวในกระทะเหล็กเปิด (Open pan) ที่ตั้งบนเตาต้มเคี่ยวเป็นระยะๆ ในกระทะต่อไปตามลำดับจนถึงกระทะที่ 4 ข้นได้ที่แล้วก็เทออกผึ่ง ละเลงในกระบะไม้ให้แห้ง แล้วใช้ค้อนไม้บดให้เป็นเม็ดหยาบๆ

        ประเทศไทยผลิตน้ำตาลจากอ้อยปีละประมาณ 5-7 ล้านตัน โดยใช้สำหรับการบริโภคในประเทศร้อยละ 30-35 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 65-70 ส่งเป็นสินค้าออก ประเภทของน้ำตาลทรายที่ผลิตในประเทศแบ่งออกเป็น 1.น้ำตาลทรายแดง ทำให้เป็นน้ำตาลด้วยวิธีไม่ตกผลึก 2.น้ำตาลทรายดิบ ลักษณะเป็นผลึก 3.น้ำตาลทรายขาว ลักษณะเป็นผลึกขาวใส

        สรรพคุณ น้ำตาลทรายแดงมีคุณสมบัติร้อน บำรุงกำลัง แก้ปวด ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก สตรีระหว่างมีประจำเดือน ปวดเอวหรือท้องน้อย ดื่มน้ำผสมน้ำตาลทรายแดงอุ่นสักแก้ว จะทำให้สบายขึ้น ไทยส่งน้ำตาลทรายแดงไปขายมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งนอกจากใช้บริโภค ยังใช้ผสมในยาต่างๆ

วิธีทำดอกเก็กฮวยแห้ง
การทำดอกเก็กฮวยแห้ง ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากคือ เก็บดอกสดมาล้างน้ำเอาเศษดินและสิ่งสกปรกออก และเด็ดใบออกนำดอกที่ล้างแล้วใส่ในกระทะหรือหม้อ คั่วด้วยไฟอ่อนๆ จนมีสีเหลือเล็กน้อย จึงพรมเหล้าขาว และน้ำลงไป จากนั้นจึงนำไปตากแดดให้แห้ง เก็บไว้ในภาชนะแห้งสะอาดปิดให้มิดชิด ป้องกันแมลงและเชื้อรา

วิธีเตรียมน้ำเก็กฮวย
นำดอกเก็กฮวยแห้งมาล้างน้ำ ใส่ลงไปในหม้อต้มกับน้ำในปริมาณที่เหมาะสม เคี่ยวไฟอ่อนๆ 5 นาที เติมน้ำตาล ชิมรสหวานตามชอบ จะได้น้ำเก็กฮวยสีเหลืองอ่อนรสหวาน ดื่มได้ทั้งขณะร้อน หรือแช่เย็น ถ้าต้องการให้น้ำเก็กฮวยมีสีเหลืองน่าดื่มมากขึ้น อาจใส่ลูกพุดจีน นำไปต้น เมล็ดพุดจีนจะทำให้น้ำเก็กฮวยมีสีเหลืองเข้มขึ้น
สารเคมีที่สำคัญในดอกเก็กฮวย
เก็กฮวย จะประกอบด้วยสารเคมีสำคัญเช่น น้ำมันหอมระเหยะ Adenline Choine Stachydrine ซึ่งจะให้รสหวานขม มีฤทธิ์เป็นยาถอนพิษ ดับร้อน รักษาอาการปวดศีรษา เวียนศีรษะ ตาแดง แน่นหน้าอก อึดอัด ฝี หนอง
สรรพคุณทางยาของดอกเก็กฮวย
ดอกเก็กฮวยนอกจาก จะใช้แก้กระหายแล้ว ยังใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น อาการปวดเนื่องจาก เส้นเลือดหัวใจตีบตัน (Coronary heart disease) โดยใช้ดอกเก็กฮวย 300 กรัม แช่น้ำอุ่นทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำมาต้ม 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมง ทิ้งให้ตกตะกอน แล้วเอาน้ำเก็กฮวยที่ได้ทั้งสองครั้งมาเคี่ยวรวมกันจนได้ปริมาณ 500 มิลลิลิตร ใช้ดื่มวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 25 มิลลิลิตร ดื่มติดต่อกัน 2 เดือน ซึ่งแพทย์จีนเคยนำมารักษากับผู้ป่วยโรคหัวใจแล้วได้ผลประมาณ 80% และยังทำให้ความดันเลือดลงลงอีกด้วย
ดอกเก็กฮวย ยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกเช่น แก้โรคโกโนเรีย ปวดศีรษะ เป็นยาเจริญอาหารช่วยระบบย่อย และการขับถ่ายในร่างกายให้ดีขึ้น เป็นยาขับลมในลำไส้ บำรุงประสาท และสายตา แก้โรคนิ่ว โรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง วัณโรค ใบและลำต้น ใช้เป็นยาทาภายนอกแก้แผลน้ำร้อนลวก และโรคผิวหนัง แก้อาการช้ำบวม เป็นต้น

การดูแลรักษาสุขภาพ

การดูแลรักษาสุขภาพ

Archive for the 'การดูแลรักษาสุขภาพ' Category

ว่าด้วยเรื่องของช็อคโกแลต ช็อคโกแลตถือเป็นขนมที่มีรสชาติหอมหวานน่ารับประทาน น้อยคนนักที่จะบอกว่าไม่ชอบทานช็อคโกแลตแล้วทราบมั้ยคะว่าช็อกโกแลตที่เป็นขนมที่ชื่นชอบของคนจำนวนมากเนี่ยะมีสาร Methylxanthines ที่จะช่วยกระตุ้นต่อมประสาททำให้คุณอารมณ์ดีมีความสุข ดังนั้นเวลาที่เราได้รับประทานช็อคโกแลตจึงทำให้เรารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก นี่อาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่คนนิยมมอบช็อคโกแลตให้แก่กันในวันวาเลนไทน์ เพราะอยากให้คนที่ได้รับมีความสุขนั่นเอง เขาว่ากันว่าช็ฮคโกแลต ที่อร่อยที่สุดในโลก จะต้องเป็นช็อคโกแลตของประเทศเบลเยียม เขาแนะนำว่าเวลาไปร้านขายช็อคโกแลต หากช็อคโกแลตทำท่าจะละลายในมือถือว่าเป็น ช็อคโกแลตที่ดีนะคะ เพราะแสดงว่ามีเนยโกโก้ผสมอยู่ในปริมาณสูงโดยอาจสังเกตจากชิ้นที่มีผิวมันเรียบก็ได้คะ แต่ถ้าลองชิมก็อยากเลือกที่กัดแล้วร่วงกราวเป็นเศษเล็กเศษน้อยหรือนิ่มเหลว ชนิดของช็อคโกแลต มีอยู่ 3 ชนิดคือ +ช็อกโกแลต (Dark Chocolate) +ช็อกโกแลตขาว (White Chocolate) +ช็อกโกแลตรสนม (Milk Chocolate) ช็อคโกแลตขาวจะมีส่วนผสมเหมือนช็อกโกแลตแต่ใช้เนยโกโก้เควอร์ จึงทำให้ช็อกโกแลตมีลักษณะเป็นสีขาวและมีรสหวานมากในขณะที่ช็อกโกแลตนมจะลดปริมาณโกโก้ลิเคอร์ และเติมนมผงเข้ามาแทน ขอยกตัวอย่างชื่อเรียกของช็อคโกแลตที่แตกต่างกันด้วยส่วนผสม และแตกต่างความอร่อยให้เห็นชัดๆนะคะ Chocolate Liquor เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ เจ้าน้ำช็อคโกแลตนี้สามารถ ทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อกโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ ไม่หวานน้ำช็อกโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัทเตอร์ประมาน 53% Semi-Sweet (แบบหวานน้อย) ช็อกโกแลตชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่ cocoa butter ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตราฐานของสหรัฐ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27% [...]
หลักการกินสู่ความสวย การกินอาหารสู่ความสวยจะต้องมีหลักการกินที่ถูกต้อง เพื่อให้สารอาหารดีๆ หล่อเลี้ยงสุขภาพและความงามของคุณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด กินอาหารครบทั้ง 5 หมู่ แม้ว่าคุณจะอยู่ในช่วงไดเอตซึ่งต้องควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไขมันหรือโปรตีนให้น้อยลง แต่การอดอาหารหมู่ใดหมู่หนึ่งไม่ใช่การไดเอตที่ถูกต้อง เพราะถ้าคุณขาดสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งก็เป็นไปได้ว่าจะทำให้คุณขาดสารอาหาร ตัวอื่นๆตามไปด้วย เช่น ถ้าคุณงดไขมันเลยคุณก็ต้องเสี่ยงกับการขาดวิตามิน เอ ดี อี เค ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายไขมัน เมื่อไม่มีไขมันไปละลายร่างกายก็นำวิตามินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ แม้ว่าคุณจะกินอาหารที่มีวิตามินเหล่านี้ไปมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องกินอาหารให้ครบทุกหมู่ แต่อาจเน้นไปที่เกลือแร่วิตามินที่มีอยู่ในผักผลไม้ให้มาก ส่วนไขมันและคาร์โบไฮเดรตอาจลดลงได้บ้างก็ไม่มีปัญหา ยิ่งคุณต้องการให้ผิวสวยรูปร่างดีด้วยแล้ว จะปล่อยให้ร่างกายขาดสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้เลย ควรกินอาหารที่มีอยู่ในฤดูกาลเป็นหลักเพื่อให้ได้อาหารสดใหม่มีคุณภาพดีที่สุด ในช่วงนั้นและราคาประหยัด ที่สำคัญคือจะเป็นช่วงที่มีสรรพคุณหรือคุณค่าทางสารอาหารเยี่ยมยอดที่สุด การกินผลไม้หรือผักอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ เพราะหลายคนนิยมปอกเปลือกเสียหมด เพราะรู้สึกว่าปอกแล้วกินง่ายอร่อยกว่าและยังรู้สึกว่าสะอาดกว่าด้วย แต่ความจริงแล้วยังมีผักผลไม้อีกมากที่ไม่จำเป็นต้องปอกเปลือกก็ได้ เช่น สาลี่ ฝรั่ง ละมุด ลูกแพร์ แอปเปิล คะน้า แตงกวา พริกหยวก ฯลฯ เพราะการปอกเปลือกเท่ากับเป็นการนำส่วนที่ดีที่สุดซึ่งมีสารอาหารมากมายออก ไป แต่ถ้าคุณกลัวว่าจะมียาฆ่าแมลงผสมอยู่ที่เปลือกให้ล้างด้วยด่างทับทิมแล้ว ล้างออกด้วยน้ำเปล่านานๆ หรือจะใช้นำยาสำหรับล้างผักผลไม้โดยเฉพาะและแช่ไว้นานๆ ก็ปลอกภัยแล้ว การกินอาหารที่ถูกต้องไม่ควรเน้นที่ความเอร็ดอร่อยถูกปากเป็นอันดับแรก แต่คุณควรเน้นคุณค่าทางสารอาหารมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะถ้ายึดติดอยู่กับความอร่อยเท่านั้นก็จะต้องกินอาหารที่มีรสจัดๆ ขึ้นทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่าคุณก็จะได้อาหารที่เปี่ยมไปด้วยสารปรุงแต่งมากมายเกินความจำ เป็นของร่างกาย [...]
วัย 50+ กินอย่างไรให้แข็งแรง คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อะไรๆ ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาวะ ร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้น อาจจะส่งผลถึงคุณภาพชีวิตในช่วงวัยที่มีค่านี้ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย หัวใจ สมอง ระบบย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหารจะมีประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อายุย่างเข้า 50 โรคภัยต่างๆจะเข้ามารุมเร้า ที่เป็นปัญหาพบบ่อยในผู้สูงอายุคงหนีไม่พ้นโรคหัวใจและหลอดเลือดความดัน โลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือแม่แต่โรคต้อกระจก โรคกระดูกพรุน และอาการปวดตามข้อต่างๆ เมื่อวัยที่เพิ่มขึ้น ร่างกายมีโอากาสในการขาดสารอาหารมากขึ้น ด้วยสาเหตุใหญ่ๆ 3 ประการ 1. ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย (Physiological change) ถึงแม้ปัจจุบันสุขอนามัยที่ดีขึ้นหรือความเอาใจใส่ทางด้านสุขภาพที่มากขึ้น แต่เวลาที่ไม่เคยคอยใครก็ย่อมทำให้ความเสื่อมต่างๆทางร่างกายเกิดขึ้นได้ ตลอดเวลา เช่น เหงือกและฟันไม่ดี ทำให้ในวัยนี้ต้องลดการรับประทานอาหารหรือเปลี่ยนไปทานอาหารที่หุงต้มจน เปื่อยซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ไปมากในระหว่างการปรุง อาหาร ระบบย่อยอาหารทำงานลดลง เนื่องจากการหลั่งของน้ำย่อยจากระเพาะอาหาร และน้ำดีลดลง อาหารที่ทานเข้าไปจึงไม่สามารถถูกย่อยและถูกดูดซึมเอาไปใช้ได้อย่างเต็มที่ 2.ภาวะการเปลี่ยนแปลงและสังคม (Social and Mentality change) ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ [...]
ผักตามฤดูกาล มีอะไรกันบ้างมาดูกัน ประเทศไทยเรา มีผักให้เลือกรับประทานกัน หลากหลายอย่างเลยทีเดียว เรียกได้ว่าตลอดทั้งปีมีผักที่ออกตามฤดูกาลให้เราเลือกรับประทานมีอะไรกันบ้างมาดูกัน เดือนมกราคม มะระ คะน้า สะเดา กะหล่ำดอก ขั้นฉ่าย ดอกหอม ถั่วลันเตา ถั่วแขก บวบ กวางตุ้ง —————————————————————————————————— เดือนกุมภาพันธ์ มะระ คะน้า สะเดา กำหล่ำดอก ขึ้นฉ่าย ดอกหอม ถั่วลันเตา ถั่วแขก บวบ กวางตุ้ง มะนาว หัวไชเท้า แตงกวา —————————————————————————————————— เดือนมีนาคม เห็ดฟาง ใบมะขามอ่อน มะเขือยาว ฟัก —————————————————————————————————— เดือนเมษายน เห็ดฟาง ใบมะขามอ่อน มะเขือยาว ฟัก ต้มหอม บวบ มันฝรั่ง แตงกวา —————————————————————————————————— เดือนพฤษภาคม มะนาว มะเขือเปราะ มะเขือเจ้าพระยา มะเขือเสวย ถั่วพู [...]
การออกกำลังกายเพื่อการลดน้ำหนัก สำหรับ การลดน้ำหนัก แล้ว ไม่มีปาฏิหารย์ ไม่สามารถบอกได้ว่าจะลดได้นานเท่าไรจึงอ้วนใหม่ การปฏิบัตตนอย่างสม่ำเสมอ ในการควบคุมอาหาร และการออกกำลังเท่านั้น ที่จะทำให้คุณคงสภาพน้ำหนักดีอยู่ได้ การออกกำลังกายเพื่อการลดน้ำหนัก นพ.สุธี ศิริเวชฎารักษ์ การ ลดน้ำหนักที่ถูกต้องมีหลักการง่ายๆอยู่ สามอย่างคือ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การดำเนินชีวิตประจำวัน ในเรื่องการควบคุมอาหารนั้นก็คือ เลือกรับประทานอาหารให้มีปริมาณพลังงานเพียงพอแก่การใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่มีเหลือเก็บสะสมไว้ในร่างกายและเลือกชนิดของอาหารที่รับประทานให้มีคุณ ค่าทางอาหารอย่างถูกสัดส่วน การออกกำลังกายเพื่อการ ลดน้ำหนัก นั้นจะต้องประกอบด้วยการออกกำลังกายที่ให้ร่างกายมีการใช้พลังงานที่เก็บ สะสมไว้ออกมา และเพื่อให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเมื่อมีการจำกัดปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันเป็นระยะ เวลาหนึ่งแล้วร่างกายจะปรับตัวให้มีการใช้พลังงานลดลง เช่น ชีพจรช้าลง ความดันโลหิตต่ำลง ซึ่งอาจจะมีผลทำให้อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด เป็นลมได้ และที่สำคัญก็คือน้ำหนักตัวจะไม่ลดลง การออกกำลังกายที่เหมาะสมในกรณีนี้ก็คือการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ซึ่งก็คือการออกกำลังกายของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 15-20 นาที โดยให้ชีพจรหรือหัวใจเต้นจนถึงระดับชีพจรเป้าหมาย ซึ่งสามารถคำนวณได้โดยการ หาชีพจรสูงสุดก่อน ชีพจรสูงสุด (Maximum heart rate) = 220- อายุ(ปี) ชีพจรเป้าหมาย [...]
10 สมุนไพร คลายเครียด ความเครียด ดูเป็นของคู่กันสำหรับคนทำงาน ไปเสียแล้ว เราก็ต้องพึ่งพายาที่ทำมาจากสารเคมี และอาจมีผลข้างเคียง เช่น ดื้อยา วันนี้เรามีอีกทางเลือกของคนไทยที่ทั้งปลอดภัยและเหมาะสมกับยุคข้าวยากหมาก แพงเช่นนี้ นั่นก็คือ สมุนไพร ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาและบรรเทาอาการเจ็บไข้เบื้องต้นได้จริง เริ่มต้นจากสมุนไพรใกล้ตัวเราดังนี้ 1. ขี้เหล็ก ใบอ่อนและดอกตูมของขี้เหล็กมีสารที่ชื่อว่า แอนไฮโดรบาราคอล (Anhydrobarako) ซึ่งมีสรรพคุณ ช่วยคลายเครียด และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อนๆอีกด้วย เรามีวิธีนำขี้เหล็กมาปรุงเป็นยาสมุนไพรคลายเครียด 2 สูตร ดังนี้ นำใบอ่อนและดอกตูมแห้ง 30 กรัม (หากเป็นสดใช้ 50 กรัม) ใส่โหลแก้วเทเหล้าขาวใส่พอท่วมยา แช่ไว้ 7 วันหมั่นคนบ่อยๆทุกวัน เมื่อครบ 7 วันใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำยา จิบครั้งละ 1 -      2 ช้อนชาก่อนนอน ใช้ใบอ่อนแห้งประมาน 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ [...]
อาหารเช้าคือมื้อที่สำคัญ ในสังคมปัจจุบันนี้เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ที่คนส่วนใหญ่มิได้ให้ความสำคัญกับอาหารเช้า เนื่องจากต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาเพื่อไปเรียนหรือทำงาน คนไทยเราจะให้ความสำคัญกับอาหารเย็น เน้นว่าเป็นมื้อที่ต้องรับประทานอาหารหนักๆ มากกว่ามื้อกลางวัน ส่วนมื้อเช้านั้นบางคนข้ามไปเลย บางคนก็ดื่มกาแฟเพียง 1 ถ้วยเท่านั้น สังเกตให้ดีจะพบว่าคุณจะรู้สึกไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าถ้ามื้อเช้าคุณไม่ได้ให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการ คืออาหารโปรตีนสูงและไขมันอย่างเพียงพอ อาหารเช้าที่หนักเกินไปก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ร่างกายต้องการเพียงสารอาหารที่ครบถ้วนในปริมาณไม่มากนัก เพื่อที่คุณจะได้มีกำลังวังชา สมองปลอดโปร่ง กระปรี้กระเปร่า พลังงานจะอยู่ในร่างกายคุณเป็นเวลานานและทำให้คุณไม่หิวบ่อยถ้าได้รับประทานอาหารเช้าที่ดี อาหารเย็นไม่ควรเป็นมื้อหนักสำหรับคุณ เพราะคุณอาจยังไม่รู้หิวในมื้อเช้า Originally posted 2010-09-07 08:02:24. Republished by Blog Post Promoter Incoming search terms: อาหารมื้อเช้าที่ดีมีอะไรบ้าง อาหารเช้าหมายถึง อาหารมื้อเช้ามีอะไรบ้าง อาหารเช้า สำคัญ อาหารมื้อเช้า หมายถึง อาหารเช้า หมายถึง มื้อเช้า อาหารเช้ามีอะไรบ้าง ความสำคัญของมื้อเช้า สารอาหารมื้อเช้ามีอะไร ดาวน์โหลด หรืออ่านบทความทั้งหมดจาก คลิ๊กอ่านที่มา admin
เคล็ดลับแตะเบรกให้เขา คุณก็ควรควบคุมไคลแม็กซ์ของเขาได้ ดึงจังหวะการสัมผัส ** เมื่อจังหวะของเขาก้าวเร็วขึ้น เตือนให้เขาชะลอสัมผัสด้วยการลูบไล้อย่างนุ่มนวล และหันเหความสนใจ เมื่อเขาเริ่มรุกจุดยุทธศาสตร์ (เช่น หน้าอก) อย่างเช่น วางมือเขาไว้ที่แก้มคุณแล้ววางมือคุณบนลำตัวเขา ————————————– เปลี่ยนท่า ** พอรู้สึกว่าเขากำลังจะระเบิดในขณะที่คุณยังไม่พร้อม ให้เปลี่ยนท่าทันที การขัดจังหวะจะช่วยให้เขาอารมณ์เย็นลง แถมยังต้องใช้เวลาปรับองศาให้เข้าที่ใหม่อีก ————————————– เบรกอวัยวะ ** วิธีเตะแรกที่ได้ผลที่สุด คือ ให้เขาถอนสมอออกมาแล้วบีบปลายอาวุธรักเขาด้วยแรงปานกลางประมาน 3-4 วินาที จะช่วยชะลอไคลแมกซ์และดึงอารมณ์เขาให้เย็นลง ยังไงก่อนืำก็อย่าลืมเตือนเขาล่วงหน้าล่ะ ————————————— ที่มา นิตยสาร Cosmo Originally posted 2010-09-06 14:23:58. Republished by Blog Post Promoter ดาวน์โหลด หรืออ่านบทความทั้งหมดจาก คลิ๊กอ่านที่มา admin
อาหารเพื่อผิวงาม มีสารอาหารดีๆ ที่ช่วยให้คุณมีผิวพรรณงดงามโดยตรง วิตามินซี ช่วยให้ผิวสวย ทำให้ผิวหนังแข็งแรงมีสุขภาพดี ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นไม่เหี่ยวย่นง่าย รักษาอาการจุดด่างดำและฝ้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินซี ยังช่วยให้คุณที่เป็นโรคภูมิแพ้บรรเทาอาการลงได้ ป้องกันหวัดและทำให้หายเร็ว ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย เพิ่มความสามารถในการขจัดพิษป้องกันต้อกระจกในผู้สูงอายุ ป้องกันโรคโลหิตจาง บรรเทาความเครียด คลายอาการอ่อนเพลีย ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง บรรเทาความเครียด คลายอาการอ่อนเพลีย ช่วยรักษาค่าคอเลสเตอรอลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ ป้องกันโลหิตเป็นพิษ มีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของต่อมหมวกไต ลดภาวะเสี่ยงของโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารและตับทำให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ป้องกันโรคโลหิตเป็นพิษ ทำให้กระดูกและเยื่อบุมีความทนทานแข็งแรงและช่วยป้องกันโรคท้องผูก อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน ซี ฝรั่ง สตรอเบอร์รี มะละกอ บร็อกโคลี กีวี ส้ม มะนาว มะขาม มะเฟือง มะไฟ ส้มโอ มะกรูด พริกหยวก ผักบุ้ง ฟักทอง มันเทศ พริกไทย กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ เซเลอรี่ ถั่วลันเตา เมล่อน รากบัว มะม่วง [...]
โรคหน้าเบี้ยวคุณก็เป็นได้ โรคหน้าเบี้ยว ไม่นานมานี้มีข่าวคราวออกมาว่า ดารานักแสดง่คนหนึ่งป่วยเป็นโรคชื่อแปลก ชื่อว่า โรคหน้าเบี้ยว ทิ้งช่วงไม่นานนัก เพื่อนบ้านอีกคนก็ป่วยเป็นโรคเดียวกัน จึงดูเหมือนว่าโรคนี้ใกล้ตัวเราๆท่านๆเข้ามาทุกที แล้วใครบ้างที่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง นายแพทย์สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์อายุรกรรมสมอง โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 อธิบายถึงโรคนี้ว่า โรคหน้าเบี้ยว เกิดได้จากหลายสาเหตุ สำหรับโรคหน้าเบี้ยวแบบ Bell Palsy ส่วนใหญ่จะหมายถึงอาการปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท จากอาการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและรับความรู้สึกบริเวณใบหน้า ตอนนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสจนทำให้เส้นประสาทอักเสบ เชื้อไวรัสส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ เชื้อไวรัสหวัดและเชื้อเริม การติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ก็อาจมาจากเชื้อไวรัสที่มีอยู่ในอากาศ เพราะการ ไอ จาก หรือสัมผัสกับเชื้อโดยตรงก็ได้ ในรายที่ร่างกมายไม่แข็งแรง เช่น อดนอน ทำงานหนักไป เครียดมาก ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ได้คุณค่าครบถ้วน ก็เป็นกลุ่มเสี่ยง เพราะภูมิคุ้มกันจะแย่ลง ทำให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น หรือทำให้เชื้อไวรัสที่มีอยู่ในร่างกายแต่เดิมอย่างเชื้อเริมที่หลบอยู่ที่ปมประสาท ออกมาทำร้ายเส้นประสทสมองคู่นี้ได้ นอกจากนี้ การป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็งเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือผ่านการให้คีโม [...]
Antioxidant ชนิดทาบนผิวหนัง Antioxidant สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เมื่อไม่นานมานี้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยได้เชิญคุณหมอ Sheldon R.Pinnell ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านผิวหนังจาก Duke University ประเทศอเมริกามาพูดให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ชนิดทาบนผิวหนัง ซึ่งคุณหมอท่านนี้ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีผลงานตีพิมพ์เป็นจำนวนมาก เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าขบวนการเสื่อมหรือ aging ของเซลล์ที่สำคัญคือขบวนการ oxidation ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระต่างๆทำลายเซลล์ ซึ่งร่างกายของเราก็จะมีสาร antioxidant มาทำลายพวกอนุมูลอิสระเหล่านี้ ซึ่งสาร antioxidant บางอย่างร่างกายก็สามารถสร้างได้เองแต่บางอย่างก็ต้องได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เช่น วิตามิน C คราวนี้พวกหมอผิวหนังก็มาคิดว่า ถ้าเราสามารถทำ antioxidant ให้อยู่ในรูปครีมหรือโลชั่นที่ใช้ทาบนผิวหนังได้ก็จะเป็นประโยชน์และสะดวกมากขึ้น บางคนก็อาจจะคิดแย้งว่า ก็ทราบกันดีอยู่แล้ว แสงแดดเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดขบวนการ oxidation เราก็ใช้ครีมกันแดดป้องกันตั้งแต่แรกเลยก็หมดเรื่อง แต่อย่าลืมเราไม่สามารถป้องกันแสงแดดจากครีมกันแดดได้ 100% นอกจากนี้ยังพบว่าค่า SPF ที่เขียนบนฉลากนั้นคือค่า SPF ที่ใช้ครีมขนาด 2.0 mg/cm2 แต่โดยทั่วไปคนเราจะทาครีมกันแดดโดยเฉลี่ยเพียง 0.5 mg/cm2 ซึ่งทำให้ค่า SPF ลดไปมาก เช่น ค่า [...]
มารู้จักอาหาร 10 ชนิดพิชิตโรคกันเถอะ อาหาร คือ ยาวิเศษ สุด การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์จะช่วยเสริมสร้างระบบ ภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ขจัดสิว ช่วยให้จิตใจเบิกบาน จะแนะนำอาหาร 10 ชนิดที่รับประทานเป็นประจำทุกวันท่านจะห่างไกลโรคหัวใจ โรคมะเร็ง อย่างแน่นอน ซอสมะเขือเทศ อาหารของชาวอิตาเลียนจะมีซอสมะเขือเทศเปนเครื่องปรุงหลักและพบว่าชาวอิตาเลียนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาติอื่นหลายเท่า เพราะในซอสมะเขือเทศ อุดมไปด้วยสารไลโคปิน ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศและเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นซอสจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 5 เท่า และสารไลโคปินนี้มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของเซลล์ ดังนั้นถ้าคุณรับประทานซอสมะเขือเทศ 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ โรคหัวใจก็จะห่างไกลคุณแถมด้วยผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย กระเทียมสด ในกระเทียมสดประกอบด้วยสารทรงคุณค่า 2 ชนิดคือ อัลลิซินและไดอะลิศ ซึ่งทำหน้าที่ลดคลอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหุตของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเลือดจับตัวเปนก้อน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี รับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเป็นประจำ มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มเมนูมันเทศเข้าเป็นอาหารประจำบ้านคุณเพื่อสุขภาพที่ดี หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ แก้อาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆได้ดี ฉะนั้นอย่างลืมใช้หอมหัวใหญ่ปรุงเมนูเด็ดของคุณ จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก จึงช่วยขจัดสิวอันเป็นปัญหาของผิวพรรณได้ดี ถ้าเติมจมูกข้าวสาลีในโยเกิร์ตหรือธัญพืชกรอบ [...]
อย่ารู้สึกแก่ อยู่อย่างมีำกำลังใจ ขณะนี้ประเทศของเรามีจำนวน ผู้สูงอายุ มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ผู้คนเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อ โรคระบาดในช่วงเด็กและวัยคลางคนลดลง เมื่อมาถึงวัยสูงอายุ หลายๆท่านยังรู้สึกสนุกสนาน กระฉับกระเฉงและตั้งใจจะใช้ชีวิตในช่ีวงนี้อย่างมีความสุขและยาวนานที่สุด ถึงขนาดตั้งชมรมอยู่ร้อยปีก็มี แต่ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีความสุขและรู้สึกตลอดเวลาว่าชีวิตช่วงนี้ไม่ดีเลย ร่างกายก็ทรุดโทรม ฐานะเงินทองเปลี่ยนแปลงไป สิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยทั้งญาติพี่น้อง มิตรสหายที่รู้จักมานานก็เริ่มหายหน้า เพราะได้ละสังขารไปตามๆกัน ลูกหลานที่เคยอยู่ใต้ใบบุญหรือต้องพึ่งพาก็เปลี่ยนสถานะไป เริ่มมีเงินทองและฐานะในสังคมสูงขึ้น ดีขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุเหมือนด้อยความสำคัญลงไปทุกที ความรู้สึกต่าๆเหล่านี้ล้วนบั่นทอนความคิด กำลังใจของผู้สูงอายุไปทุกวัน ทำอย่างไรจะอยู่อย่างมีความสุข? ตั้งใจจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวอย่างมีความสุข ความตั้งใจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก ่ควรจะกำหนดไปเลยว่าจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ (90ปี หรือ 100ปี) หรือจนหลานคนสุดท้ายได้บวชหรือเรียนจบ เป็นต้น วางแผนชีวิตแต่ละด้านเป็นช่วงๆ ซึ่งควรจะมีแผนทั้งในเรื่องการเงิน การงาน ท ี่อยู่อาศัย และเป้าหมายแต่ละช่วง หลายท่านี่ทำงานในบริษัทหรือรับราชการมักจะมีเวลาปลดเกษียณที่ชัดเจน เช่น 60 หรือ 65 ปี และมักจะคิดว่าหมดเวลาทำงานแล้ว หรือยังไม่เคยคิดเลยว่าจะไปทำอะไรต่อ ซึ่งควรจะต้องคิดใหม่ให้ยาวออกไป เพราะในปัจจุบันผู้สูงอายุจำนวนมากมีสุขภาพกายและความสามารถรวมทั้งประสบการณ์สูงมาก สามารถสร้างงาน สร้างเงิน และมีความสุขกับผลสำเร็จในสิ่งที่ทำได้จนถึงอายุ 75 หรือ 80 ปี ได้เคยพบและสนทนากับผู้่สูงอายุหลายท่านที่ได้เริ่มทำสิ่งที่ชอบ [...]
มะเขือเทศ สีสดใสสะดุดตา เห็นแล้วชวนรับประทานยิ่งนัก ทำเอาทั้งหลายท่านห้ามใจไม่อยู่ แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่เห็นเจ้ามะเขือเทศแล้วร้อง ยี้!! ไม่ว่าจะมาในแบบสดๆ หรือผ่านการแปรรูปมาแล้วก็ตาม ดังนั้นมะเขือเทศจึงมักกลายเป็นแค่เครื่องประดับอาหารจานอร่อยไปโดยปริยาย จะบอกให้นะคะว่า คุณกำลังบอกปัดสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไปอย่างน่าเสียดายค่ะ เพราะมะเขือเทศนั้นไม่ใช่ว่าจะสวยแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่ภายในยังมีคุณค่ามากมาย ที่ทำให้มะเขือเทศเป็นราชินีแห่งผักและผลไม้ไม่แพ้กับผักชนิดอื่นเช่นกัน จะเรียกว่างามทั้งนอกและในก็คงไม่ผิด การรับประทานมะเขือเทศเพียงวันละ 1-2 ลูกจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เป็นต้นว่า ช่วยต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา และสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก และบำรุงผิวพรรณ ของคุณด้วยค่ะ ข้อดีประการสุดท้ายคงถูกใจสาวๆ ส่วนใหญ่ ฉะนั้น สาวใดที่อยากผิวสวยควรหันมารับประทานมะเขือเทศวันละ 1-2 ลูกเป็นประจำ เท่านี้ก็ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงให้เปลืองเงินเปลืองทองที่สำคัญมะเขือเทศนั้นราคาแสนถูก ถ้าจะต้องรับประทานเป็นประจำเพื่อผิวสวยและสุขภาพที่แข็งแรงก็ไม่น่าจะเดือดร้อนเงินในกระเป๋า จริงไหมคะ อ่านที่มาทั้งหมดจาก สมุนไพรเพื่อความงาม
ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจจะอดอาหารได้เป็นเดือนๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกินกว่า 3-7 วัน การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกัน การขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง หลักการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด สามารถทำง่ายๆในชีวิตประจำวัน โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือ น้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป ถ้าเป็นน้ำอุ่น ควรดื่มตอนเช้า เพื่อช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด และช่วยการขับถ่ายของเสีย ในแต่ละวัน เราควรดื่มน้ำทั้งหมด 10 แก้ว โดยตื่นนอนตอนเช้าดื่ม 1 แก้ว ตอนสายดื่มอีก 2 แก้ว ตอนบ่ายและตอนเย็นดื่มครั้งละ 3 แก้ว และก่อนเข้านอนดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายขึ้น นอกเหนือจากน้ำเปล่าแล้ว คุณๆสามารถดื่มน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่นๆได้ไม่จำกัด ข้อควรจำคือ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารให้แน่นจนเกินไป ควรทานแค่อิ่มพอดี แล้วรับประทานผลไม้สดเพื่อล้างคอ [...]

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

น้ำสมุนไพรเครื่องดื่มสูตรเพิ่มออกซิเจนในเลือด

เครื่องดื่มสูตรเพิ่มออกซิเจนในเลือด
สูตร บำรุงและทำความสะอาดเลือด พร้อมทั้งเสริมประสิทธิภาพในการลำเลียงออกซิเจนของเม็ดเลือด จากส่วนผสมของ
  • สตรอว์เบอร์รี่ ดีต่อเลือด เพราะอุดมไปด้วยแคลเซียม คลอรีน โซเดียม กำมะถัน แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดโฟลิก และไบโอติน แถมยังสามารถช่วยแก้กระหาย เมาค้าง ล้างพิษ บำรุงผิวพรรณ เสริมประสิทธิภาพของระบบขับถ่าย แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง แก้ไอ และขับปัสสาวะ
  • กล้วยหอม มีธาตุเหล็กที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮีโมโกลบิน แก้ปัญหาเลือดจาง ทั้งยังอุดมไปด้วยเกลือโพแทสเซียมเหลือง สามารถลดความเสี่ยงการเกิดความดันในเลือดได้
  • กีวี มีสารอาหารที่ใกล้เคียงกับสตรอว์เบอร์รี่ แต่จะมีเบตาแคโรทีนเพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ไม่ทำให้เป็นหวัดง่าย
  • สาหร่ายสไปรูลินา มีคลอโรฟีลล์ ช่วยเร่งกระบวนการชะล้างสารพิษและของเสียในตับ กระแสเลือด และลำไส้ให้เร็วขึ้น ทำให้ฮีโมโกลบินสามารถลำเลียงออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนผสม
  • สตรอว์เบอร์รี่ 2 ถ้วย
  • กล้วยหอม 1 ถ้วย
  • กีวี 1 ถ้วย
  • สาหร่ายสไปรูลินา พอประมาณ
วิธีทำ
เริ่มที่นำสตรอว์เบอร์รี่ไปหั่นพอหยาบ กีวีให้ปอกเปลือกแล้วหั่นแนวขวาง จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสองชนิดไปสกัดเอาเฉพาะน้ำ ส่วนกล้วยเมื่อปอกเปลือกแล้วให้ฝานเป็นแว่น ๆ นำไปปั่นรวมกับน้ำสตรอว์เบอร์รี่และกีวีด้วยเครื่องปั่น แล้วจึงเติมสาหร่ายสไปรูลินาพร้อมน้ำแข็งป่นพอประมาณก่อนนำส่วนผสมทั้งหมดไป ปั่นรวมกันจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันเป็นอันเรียบร้อยดื่มได้ทันที

น้ำสมุนไพร สูตรล้างพิษ บำรุงตับ

น้ำสมุนไพรสูตรบำรุงรักษาตับมีส่วนผสม ของ กะหล่ำปลี สาหร่ายสไปรูลินา และวีตกราส ช่วยล้างพิษในตับ เสริมสร้างตับให้แข็งแรง
คุณประโยชน์ของส่วนผสมต่างๆมีดังนี้

กะหล่ำ ปลี อุดมไปด้วยสารอินโดลฟลาโวนอยด์ สารคาร์บินอล สารซัลฟาราเฟน กลูโคซิโนเลต ต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยชะล้างพิษ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยทำความสะอาดลำไส้ บรรเทาอาการอักเสบเนื่องจากแผลในลำไส้ แก้ท้องผูก แก้เจ็บคอ บำรุงไต ดีต่อผิวพรรณ ทำให้ผิวสะอาดเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล แก้จุกเสียดแน่นท้อง ขับปัสสาวะ บรรเทาอาการแน่นหน้าอก และยังมีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก กะหล่ำปลียังเพิ่มการสร้างกลูตาไทโอนซึ่งจำเป็นต่อตับในการล้างพิษจากควันไอ เสีย และยา นอกจากนี้ควรรู้ไว้ว่า กะหล่ำปลีขาวจะมีรสชาติหวาน และง่ายต่อการดื่มมากกว่ากะหล่ำปลีเขียว
สาหร่ายสไปรูลินา อุดมไปด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อการล้างพิษ การฟื้นฟู และการปรับสมดุลของตับ สมอง และระบบประสาท และเป็นแหล่งวิตามินบี 12 ไม่ก่อให้เกิดกรดหรือของเสียขึ้นภายในร่างกาย คลอโรฟีลล์ที่พบในสาหร่ายสไปรูลินา ยังเร่งกระบวนการชะล้างพิษและของเสียในตับ กระแสเลือด เนื้อเยื่อ และลำไส้ให้เร็วขึ้น ส่งผลให้เฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนแข็งแรง
วีตกราส หรือต้นอ่อนข้าวสาลี อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม เหล็ก และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร กรดอะมิโนที่สำคัญ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์ร่างกายใหม่ ๆ และคลอโรฟีลล์ช่วยทำความสะอาดเลือด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมารวมกันก็เพื่อช่วยฟอกโลหิต เซลล์เม็ดเลือดแข็งแรง ร่างกายสะอาด และเพิ่มกำลังวังชา
สิ่งที่ต้องเตรียมได้แก่
-กะหล่ำปลี 1 ถ้วย
-วีตกราส 2 ถ้วย
-สาหร่ายสไปรูลินา พอประมาณ

ขั้นตอนการปรุง เริ่มจากทำความสะอาดกะหล่ำปลีและวีตกราส หั่นส่วนผสมทั้งสองชนิดให้มีขนาดเล็กพอประมาณ นำไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เทใส่แก้ว เติมสาหร่ายสไปรูลินาลงไปแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็ดื่มได้ทันที

น้ำสมุนไพร สูตรเสริมคอลลาเจนใต้ผิวหนัง

สูตร เสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง โดยอาศัยสารอาหารที่มีอยู่ในกีวีและองุ่นเขียว
·  กีวีอุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย ไม่ถูกหวัดกินง่าย ๆ ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง
·  องุ่นเขียวเพิ่มความเร็วให้แก่กระบวนการเผาผลาญอาหาร รวมทั้งการล้างพิษ เหมาะกับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ดีต่อเลือดลม ช่วยขับปัสสาวะ ในองุ่นเป็นแหล่งรวมของฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี1 บี2 วิตามินซี กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก และทาร์ทาริก

ส่วนผสม
  • กีวี 1 ถ้วย
  • องุ่นเขียว 1 ถ้วย
  • น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
วิธีทำ
เริ่มด้วยการนำกีวีและองุ่นเขียวไปทำความสะอาด จากนั้นนำองุ่นเขียวไปผ่าครึ่งโดยไม่ต้องเอาเมล็ดออก ส่วนกีวีให้ปลอกเปลือกก่อนแล้วหั่นเป็นแว่น นำองุ่นเขียวและกีวีไปปั่นรวมกันด้วยเครื่องปั่น หลังจากปั่นไปได้สักครู่จนเนื้อผลไม้พอละเอียดเข้ากันให้เติมน้ำแข็งป่นเล็ก น้อยแล้วปั่นส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งเป็นอันเสร็จ

น้ำมะระ

ส่วน ผสม
- เนื้อมะระขี้นก 30 กรัม( 3 ลูก )
-
ใบเตยหอมตากแห้ง 15 กรัม( 1 ช้อนคาว )
-
น้ำต้มสะอาด 200 กรัม( 14 ช้อนคาว )
-
เกลือป่น 1 กรัม( 5 ช้อนชา )
-
น้ำมะนาว 15 กรัม( ครึ่งลูก )

วิธีทำ
1. นำมะระขี้นกล้างให้สะอาด ผ่าซีก แกะเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นยาวๆบางๆ ตามขวางของผลมะระ
2.
นำใบเตยหั่นเป็นท่อนสั้นๆตากแห้งแล้วคั่วให้เหลืองกรอบเก็บในขวดปากกว้าง
3.
เอามะระขี้นก ใบเตยหอมและน้ำใส่ในหม้อต้มให้เดือด หรือถ้าไม่อยากต้ม จะใส่ในถ้วยแก้ว ที้งไว้ 5-10 นาที แล้วนำมาดื่มใด้ไม่ต้องกลัวว่าจะขมเวลาดื่ม เพราะแก้ไขด้วยการเอาใบเตยหอมและน้ำมะนาวมาผสมช่วยกลบความขมของมะระขี้นกได้ดี

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร : มีวิตามินเอสูงมากช่วยบำรุงสายตา
คุณค่าทางยา  :  น้ำคั้นผลมะระ เมื่อดื่มจะช่วยลดการเกิดต้อกระจกจากเบาหวาน …..ช่วยเจริญอาหาร ลดน้ำตาลในเลือด ลดไข้ แก้อาการข้ออักเสบ บำรุงน้ำดี


6 สมุนไพรที่ลำไส้ต้องการ

ทำงานเหนื่อยๆ  ลำไส้ของเราก็อย่างได้อาหารบำรุงเหมือนกันนะ  และสมุนไพรทั้ง 6 ชนิดคือคำตอบที่กระเพราะและลำใส้ต้องการให้เราไปเสริมสุขภาพของมัน
ใบแมงลัก
น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ
พริกสด
ความเผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป
หอมแดง
แค่กินหอมแดงอย่างเดียว ลำไส้คุณก็ยิ้มแล้ว เพราะเท่ากับซื้อหนึ่งได้ถึง สี่ ได้แก่สารฟลาโวนอยส์ ไกลโคไซต์ เพคติน และกลูโคคินิน 4 สารบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร คุ้มกว่านี้มีอีกไหม
ใบกระเพรา
ถึงชื่อเสียงของกระเพราจะมือมนไปมาก ตั้งแต่พัดกะเพราถูกตั้งชื่อว่าผักสิ้นคิด แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหารมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้า ไป
ตะไคร้
ให้เคี้ยวเดี๋ยวกินยากเกินไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้ หรือซอยบางๆกินกับยำ คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้เริ่ดไม่แพ้ใบกะเพรา คือช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน สาวๆที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยไม่ควรพลาด
กระเทียม
มีสูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝาก ให้อากระเทียมมา 5 กลีบแล้วสับละเอียด กินทันทีหลังอาหาร กระเทียมมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพราะอาหารจอมขี้เกรียดของคุณยอมย่อยอาหารมื้อ นั้นแต่โดยดี ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการไม่ย่อยก็จะหายไปเอง
ถั่ว แดง สำหรับคุณ ผู้หญิงที่มักมีอาการปวดช่วงท้องน้อย ซึ่งอาจเกิดจากการมีเลือดคั่ง ความเย็นสะสมอยู่รอบ ๆ สะดือ รังไข่ และมดลูก วิธีเยียวยาอาการดังกล่าวนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ

บทความที่ได้รับความนิยม